กลอน คืออะไร
กลอนคือลักษณะคำประพันธ์ ที่มีการเรียบเรียงเข้าเป็นคณะมีการสัมผัสกัน ตามลักษณะบัญญัติ เป็นประเภท ๆ ไป แต่จะไม่มีการบังคับในเรื่องของเอกโท และครุลหุ โดยกลอนของไทยนั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
กลอนสุภาพ
เป็นกลอนที่การใช้ถ้อยคำ และการเรียบเรียงทำนองเรียบๆแบ่งย่อยออกเป็นอีก ๔ ชนิด ได้แก่ กลอน๖ กลอน๗ กลอน๘ กลอน๙ โดยที่กลอนสุภาพ นั้นนับว่าเป็นกลอนหลัก ของกลอนทุกชนิด โดยถ้าใครมีความเข้าใจในกลอนสุภาพได้อย่างดี ก็จะสามารถเข้าใจกลอนอื่นๆ ได้ง่าย เพราะกลอนอื่นๆ ที่มีการเรียกชื่อที่ต่างออกไปล้วนแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบ วิธีจากกลอนสุภาพ แทบทั้งสิ้น
กลอนลำนำ
เป็นกลอนที่มักใช้ขับร้อง หรือใช้สวด โดยมีการแบ่งทำนองออกเป็น ๕ รูปแบบคือ ๑. กลอนบทละคร ๒. กลอนสักวา ๓. กลอนเสภา ๔. กลอนดอกสร้อย ๕. กลอนขับร้อง
กลอนตลาด
เป็นกลอนผสม หรือกลอนคละ โดยจะไม่มีการกำหนดคำตายตัว
เช่นกลอนสุภาพ ในแต่ละบทกลอน อาจจะมีวรรค ๗ คำบ้าง ๘ คำบ้าง ๙ คำบ้างหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการเอากลอนสุภาพ หลายชนิดนั่นนำเข้ามาผสมกันนั่นเอง โดยกลอนประเภทนี้เป็นกลอนที่ใช้ในการขับร้องแก้กัน จึงมักเรียกกันว่า กลอนตลาดโดยยังมีการแบ่งออกเป็นอีก ๔ ชนิด คือ ๑. กลอนเพลงยาว ๒. กลอนนิราศ ๓. กลอนนิยาย ๔. กลอนเพลงปฏิพากย์ แผนผังกลอนสุภาพจำนวน ๑ บท เมื่อแต่งมากกว่า ๑ บท ต้องมีสัมผัสระหว่างบท สังเกตสัมผัสระหว่างบทจากคำประพันธ์นี้
เช่นกลอนสุภาพ ในแต่ละบทกลอน อาจจะมีวรรค ๗ คำบ้าง ๘ คำบ้าง ๙ คำบ้างหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการเอากลอนสุภาพ หลายชนิดนั่นนำเข้ามาผสมกันนั่นเอง โดยกลอนประเภทนี้เป็นกลอนที่ใช้ในการขับร้องแก้กัน จึงมักเรียกกันว่า กลอนตลาดโดยยังมีการแบ่งออกเป็นอีก ๔ ชนิด คือ ๑. กลอนเพลงยาว ๒. กลอนนิราศ ๓. กลอนนิยาย ๔. กลอนเพลงปฏิพากย์ แผนผังกลอนสุภาพจำนวน ๑ บท เมื่อแต่งมากกว่า ๑ บท ต้องมีสัมผัสระหว่างบท สังเกตสัมผัสระหว่างบทจากคำประพันธ์นี้
ตัวอย่างบทประพันธ์ที่ควรจำ
กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร
วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ
ห้าแห่งคำคล้องจองต้องสัมผัส สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ เป็นกลอนกานท์ครบครันฉันท์นี้เอย
ตัวอย่างแผนผังกลอนสุภาพ
กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร
วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ
ห้าแห่งคำคล้องจองต้องสัมผัส สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ เป็นกลอนกานท์ครบครันฉันท์นี้เอย
ตัวอย่างแผนผังกลอนสุภาพ
แผนผังกลอนสุภาพจำนวน 1 บท
เมื่อแต่งมากกว่า 1 บท ต้องมีสัมผัสระหว่างบท สังเกตสัมผัสระหว่างบทจากแผนผังด้านล่าง
ความไพเราะของกลอนสุภาพ
คณะของกลอนสุภาพ หนึ่งบทมี ๔ วรรค วรรคละ ๘- ๙ พยางค์ ๘ พยางค์ไพเราะที่สุดสัมผัสบังคับของ กลอนสุภาพเป็นสัมผัสสระตามแผนผัง
สัมผัสระหว่างวรรค พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๒ พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓ และสัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๔
สัมผัสระหว่างบท พยางค์สุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับพยางค์สุดท้าย ของวรรคที่ ๒ของบทถัดไป
สัมผัสใน กลอนสุภาพจะมีความไพเราะยิ่งขึ้นไปนอกเหนือจากการสัมผัสตามสัมผัสบังคับแล้ว ยังต้องมีสัมผัสในที่เป็นสัมผัสสระและสัมผัสอักษรอีกด้วย
สัมผัสสระ และสัมผัสอักษรเป็นอย่างไร นอกจากสัมผัสในแล้ว เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค แต่ละวรรคก็มีความเช่นเดียวกัน ลองสังเกตเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค
หลีกสามัญ ท้ายวรรคหนึ่ง พึงจำจด สามัญตรี นั้นงด ท้ายวรรคสอง
วรรคสามสี่ ตรีสามัญ นั้นครบครอง เสียงวรรณยุกต์ ตามทำนอง ของโบราณ
พยางค์ท้ายวรรคที่ ๒ นิยมเสียงจัตวา เอก และโท พยางค์ท้ายวรรค ๓ และ ๔ นิยมเสียงสามัญ และตรี ไม่นิยมเสียง จัตวา เอก
กลอน คือลักษณะคำประพันธ์ ที่เรียบเรียงเข้าเป็นคณะ มีสัมผัสกัน ตามลักษณะบัญญัติ เป็นชนิดๆ แต่ไม่มีบังคับ เอกโท และครุลหุ
กลอนแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ กลอนสุภาพ กลอนลำนำ และกลอนตลาด
กลอนสุภาพ คือกลอนที่ใช้ถ้อยคำ และทำนองเรียบๆ แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ
๑. กลอน ๖
๒. กลอน ๗
๓. กลอน ๘
๔. กลอน ๙
กลอนสุภาพ นับว่าเป็นกลอนหลัก เพราะเป็นหลัก ของบรรดากลอนทุกชนิด ถ้าเข้าใจกลอนสุภาพ
เป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถจะเข้าใจกลอนอื่นๆ ได้โดยง่าย กลอนอื่นๆ ที่มีชื่อเรียกไปต่างๆ นั้น ล้วนแต่
ยักเยื้องแบบวิธี ไปจากกลอนสุภาพ ซึ่งเป็นกลอนหลัก ทั้งสิ้น
กลอนลำนำ คือกลอนที่ใช้ขับร้อง หรือสวด ให้มีทำนองต่างๆ แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด คือ
๑. กลอนบทละคร
๒. กลอนสักวา
๓. กลอนเสภา
๔. กลอนดอกสร้อย
๕. กลอนขับร้อง
กลอนตลาด คือกลอนผสม หรือกลอนคละ ไม่กำหนดคำตายตัว เหมือนกลอนสุภาพ ในกลอนบทหนึ่ง อาจมีวรรคละ ๗ คำบ้าง ๘ คำบ้าง ๙ คำบ้าง คือเอากลอนสุภาพ หลายชนิด มาผสมกัน นั่นเอง เป็นกลอนที่ นิยมใช้ ในการขับร้องแก้กัน ทั่วๆ ไป จึงเรียกว่า กลอนตลาด แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ
- ๑. กลอนเพลงยาว
- ๒. กลอนนิราศ
- ๓. กลอนนิยาย
- ๔. กลอนเพลงปฏิพากย์
- กลอนเพลงปฏิพากย์ ยังแบ่งออกไปอีกหลายชนิด คือ
- เพลงฉ่อย
- เพลงโคราช หรือเพลงตะวันออก
- เพลงเรือ
- เพลงชาวไร่
- เพลงชาวนา
- เพลงแห่นาค
- เพลงพิษฐาน (อธิษฐาน)
- เพลงเกี่ยวข้าว
- เพลงปรบไก่
- เพลงพวงมาลัย
- เพลงรำอีแซว หรือเพลงอีแซว
- เพลงลิเก
- เพลงลำตัด
- ฯลฯ
- บทของกลอน คำกลอนวรรคหนึ่ง เรียกว่า กลอนหนึ่ง สองวรรค หรือสองกลอน เรียกว่า บาทหนึ่ง หรือคำหนึ่ง สองคำ หรือสองบาท หรือสี่วรรค หรือสี่กลอน เรียกว่า บทหนี่ง วรรคทั้งสี่ ของกลอน ยังมีชื่อเรียกต่างๆ กัน และนิยมใช้เสียงต่างๆ กันอีก คือ
- ๑. กลอนสลับ ได้แก่ กลอนวรรคต้น คำสุดท้าย ใช้คำเต้น คือนอกจากเสียงสามัญ แต่ถ้าจะใช้ ก็ไม่ห้าม
- ๒. กลอนรับ ได้แก่ กลอนวรรคที่สอง คำสุดท้าย นิยมใช้ เสียงจัตวา ห้ามใช้เสียงโท, สามัญ, ตรี, และวรรณยุกต์เอกมีรูป วรรณยุกต์เอกไม่มีรูป ไม่ห้าม แต่ต้องให้คำสุดท้าย ของกลอนรอง เป็นเสียงตรี
- ๓. กลอนรอง ได้แก่ กลอนวรรคที่สาม คำสุดท้าย นิยมใช้ เสียงสามัญ ห้ามใช้เสียงจัตวา หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์
- ๔. กลอนส่ง ได้แก่ กลอนวรรคที่สี่ คำสุดท้าย นิยมใช้ เสียงสามัญ ห้ามใช้คำตาย และคำที่มีรูปวรรณยุกต์ จะใช้คำตายเสียงตรี บ้างก็ได้
- บาทของกลอน
คำกลอนนั้น นับ ๒ วรรคเป็น ๑ บาท ตามธรรมดา กลอนบทหนึ่ง จะต้องมีอย่างน้อย ๒ บาท (เว้นไว้แต่กลอนเพลงยาว หรือกลอนนิราศ ซึ่งนิยมใช้บทแรก ที่ขึ้นต้นเรื่อง เพียง ๓ วรรค) บาทแรก เรียกว่า บาทเอก บาทที่ ๒ เรียกว่า บาทโท คำกลอนจะยาวเท่าไรก็ตาม คงเรียกชื่อว่า บาทเอก บาทโท สลับกันไปจนจบ และต้องจบลง ด้วยบาทโทเสมอ เช่น
นิราศเรื่องหัวหินก็สิ้นสุด เพราะจากบุตรภรรยามากำสรวล (บาทเอก)
เมื่ออยู่เดียวเปลี่ยวกายใจคร่ำครวญ ก็ชักชวนให้คิดประดิษฐ์กลอน (บาทโท)
ใช้ชำนาญการกวีเช่นศรีปราชญ์ เขียนนิราศก็เพราะรักเชิงอักษร (บาทเอก)
บันทึกเรื่องที่เห็นเป็นตอนตอน ให้สมรมิตรอ่านเป็นขวัญตา (บาทโท)
มิใช่สารคดีมีประโยชน์ จึงมีโอดมีครวญรัญจวนหา (บาทเอก)
ตามแบบแผนบรรพกาลโบราณมา เป็นสาราเรื่องพรากจากอนงค์ (บาทโท)
-จากนิราศหัวหิน-
- หลักนิยมทั่วไปของกลอน
๑. คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ และวรรคที่ ๒ ก็ดี คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ และวรรคที่ ๔ ก็ดี ไม่ควรใช้คำ ที่มีเสียงเหมือนกัน หรือคำที่ใช้สระ และตัวสะกด ในมาตราเดียวกัน เช่น - ก. ในไพรสณฑ์พรั่งพรึบด้วยพฤกษา แนววนาน่ารักด้วยปักษา
- ข. เขาเดินทุ่งมุ่งลัดตัดมรรคา มั่นหมายมาเพื่อยับยั้งเคหา
- ค. เห็นนกน้อยแนบคู่คิดถึงน้อง มันจับจ้องมองตรงส่งเสียงร้อง
- ๒. คำที่รับสัมผัส ในวรรคที่ ๒ และที่ ๔ ควรให้ตำแหน่งสัมผัส ตกอยู่ที่พยางค์สุดท้าย ของคำ ไม่ควรให้สัมผัสลงที่ต้นคำ หรือกลางคำ ยิ่งเป็นกลอนขับร้อง ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้เสียความ ในเวลาขับร้อง เช่น
- สดับถ้อยสุนทรนอนดำริ จนสุริยาแจ้งแจ่มเวหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น