วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ



              คำประพันธ์ประเภทโคลงเป็นคำประพันธ์ดั้งเดิมของไทยเรา นิยมกันอย่างแพร่หลายในสมัยโบราณ

               โคลงสี่สุภาพเป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองชนิดหนึ่ง ซึ่งมีปรากฏในวรรณคดีไทยมานานแล้ว วรรณคดีไทยฉบับที่เก่าและมีชื่อเสียงมากฉบับหนึ่งคือ "ลิลิตพระลอ" มีโคลงสี่สุภาพบทหนึ่งถูกยกมาเป็นบทต้นแบบที่แต่งได้ถูกต้องตามลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ คือนอกจากจะมีบังคับสัมผัสตามที่ต่าง ๆ แล้ว ยังบังคับให้มีวรรณยุกต์เอกโทในบางตำแหน่งด้วย กล่าวคือ มีเอก 7 แห่ง และโท 4 แห่ง เรียกว่า เอกเจ็ดโทสี่
                                                      

การประพันธ์โคลงสี่สุภาพ
การประพันธ์โคลงสี่สุภาพเป็นประณีตศิลป์ ที่ใช้ถ้อยคำตัวอักษรเป็นสื่อแสดงความคิดของผู้สรรค์สร้าง ซึ่งต้องการสะท้อนอารมณ์สะเทือนใจและก่อให้ผู้อ่านคล้อยตามไปด้วย ผู้อ่านต้องรับรู้ความงามด้วยใจโดยตรง ดังนั้นผู้สร้างสรรค์งานวรรณศิลป์จึงต้องช่างสังเกต รู้จักพินิจพิจารณามองเห็นจุดที่คนอื่นมองข้ามหรือคาดไม่ถึง และใช้ถ้อยคำที่ละเมียดละไม ผลงานนั้นจึงจะทรงคุณค่า
แผนผังโคลงสี่สุภาพ

 

โคลงสี่สุภาพ 1 บท มี 4 บาท     บาท 1, 2, 3 มี 2 วรรค วรรคหน้า 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ  บาทที่ 4 วรรคหน้ามี 5 คำ วรรคหลัง 4 คำ  ท้ายบาทที่ 1 และ 3 อาจมีคำสร้อยบาทละ 2 คำ  1 บทรวม 30 คำ     กรณีมีคำสร้อยทั้งบาทที่1 และบาทที่ 3 จะมีจำนวนคำ 32-34 คำ

ลักษณะโคลงสี่สุภาพ

คณะของโคลงสี่สุภาพ บทหนึ่งมี 4 บาท (เขียนเป็น 4 บรรทัด) 1 บาทแบ่งออกเป็น 2 วรรค โดยวรรคแรกกำหนดจำนวนคำไว้ 5 คำ ส่วนวรรคหลัง ในบาทที่ 1,2 และ 3 จะมี 2 คำ (ในบาทที่ 1 และ 3 อาจเพิ่มสร้อยได้อีกแห่งละ 2 คำ) ส่วนบาทที่ 4 วรรคที่ 2 จะมี 4 คำ รวมทั้งบท มี 30 คำ และเมื่อรวมสร้อยทั้งหมดอาจเพิ่มเป็น 34 คำ
ส่วนที่บังคับ เอก โท (เอก 7 โท 4) ดังนี้
บาทที่ 1 (บาทเอก) วรรคแรก คำที่ 4 เอก และคำที่ 5 โท
บาทที่ 2 (บาทโท) วรรคแรก คำที่ 2 เอก วรรคหลัง คำแรก เอก คำที่ 2 โท
บาทที่ 3 (บาทตรี) วรรคแรก คำที่ 3 เอก วรรคหลัง คำที่ 2 เอก
บาทที่ 4 (บาทจัตวา) วรรคแรก คำที่ 2 เอก คำที่ 5 โท วรรคหลัง คำแรก เอก คำที่ 2 โท
หนังสือจินดามณี ของ พระโหราธิบดี อธิบายการประพันธ์โคลงสี่สุภาพไว้ว่า
สิบเก้าเสาวภาพแก้วกรองสนธิ์
จันทรมณฑลสี่ถ้วน
พระสุริยะเสด็จดลเจ็ดแห่ง
แสดงว่าพระโคลงล้วนเศษสร้อยมีสอง


  • เสาวภาพ (แผลงมาจาก สุภาพ) หมายถึงคำที่มิได้กำหนดรูปวรรณยุกต์ ทั้ง เอก โท ตรี และจัตวา (ส่วนคำที่มีรูปวรรณยุกต์กำกับเรียกว่า พิภาษ)
  • จันทรมณฑล หมายถึง คำที่กำหนดรูปวรรณยุกต์โท 4 แห่ง
  • พระสุริยะ หมายถึง คำที่กำหนดรูปวรรณยุกต์เอก 7 แห่ง
  • รวมคำที่กำหนดรูปวรรณยุกต์เอกและโท 11 คำ หรือ อักษร
  • โคลงสุภาพบทหนึ่งมี 30 คำ (ไม่รวมสร้อย)
  • คำที่กำหนดรูปวรรณยุกต์เอก อาจใช้คำตายแทนได้
  • คำที่กำหนดรูปวรรณยุกต์โท แทนด้วยคำอื่นไม่ได้ ต้องใช้รูปโทเท่านั้น
  • คำที่ไม่กำหนดรูปวรรณยุกต์ หรือคำสุภาพมี 19 คำ มีหรือไม่มีรูปวรรณยุกต์ก็ไม่ถือว่าผิด
  • ในชุด 19 คำแม้ไม่กำหนดรูปวรรณยุกต์ ในท้ายวรรคทุกวรรคต้องไม่มีรูปวรรณยุกต์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะทำให้น้ำหนักของโคลงเสียไป ได้แก่คำที่กากบาทในแผนผังข้างล่าง
๐ ๐ ๐ เอก โท๐ X (๐ ๐)
๐ เอก ๐ ๐ Xเอก โท
๐ ๐ เอก ๐ X๐ เอก (๐ ๐)
๐ เอก ๐ ๐ โทเอก โท ๐ X


โคลงสี่สุภาพที่มีรูปวรรณยุกต์ตรงตามบังคับนั้นมีตัวอย่างอยู่หลายเรื่อง เช่น ลิลิตพระลอ โคลงนิราศนรินทร์ โคลงนิราศพระประธม เป็นต้น ตัวอย่างจากหนังสือจินดามณี พระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ว่าดังนี้
นิพนธ์กลกล่าวไว้เป็นฉบับ
พึงเพ่งตามบังคับถี่ถ้วน
เอกโทท่านลำดับโดยที่ สถิตนา
ทุกทั่วลักษณะล้วนเล่ห์นี้คือโคลง


การแต่งโคลงสี่สุภาพต่อกันหลายๆ บท เป็นเรื่องราวอย่างโคลงนิราศ โคลงเฉลิมพระเกียรติ โคลงสุภาษิต หรือโคลงอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ อาจทำได้ 2 ลักษณะ คือ โคลงสุภาพชาตรี และ โคลงสุภาพลิลิต
  • โคลงสุภาพชาตรี ไม่มีสัมผัสระหว่างบท ส่วนใหญ่กวีนิพนธ์แบบเก่าจะนิยมแบบนี้เป็นส่วนมาก
  • โคลงสุภาพลิลิต มีการร้อยสัมผัสระหว่างบท โดยคำสุดท้ายของบทต้นต้องส่งสัมผัสสระ ไปยังคำที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ในบทต่อไป
เช่น
1. บุเรงนองนามราชเจ้าจอมรา มัญเฮย
ยกพยุหแสนยายิ่งแกล้ว
มอญม่านประมวลมาสามสิบ หมื่นแฮ
ถึงอยุธเยศแล้วหยุดใกล้นครา
2. พระมหาจักรพรรดิเผ้าภูวดล สยามเฮย
วางค่ายรายรี้พลเพียบหล้า
ดำริจักใคร่ยลแรงศึก
ยกนิกรทัพกล้าออกตั้งกลางสมร
3. บังอรอัคเรศผู้พิศมัย ท่านนา
นามพระสุริโยทัยออกอ้าง
ทรงเครื่องยุทธพิไชยเช่นอุปราชแฮ
เถลิงคชาธารคว้างควบเข้าขบวนไคล
โคลงภาพเรื่องพระราชพงศาวดาร


สัมผัส

        สัมผัสบังคับ เรียกอีกอย่างว่า "สัมผัสนอก" หมายถึงสัมผัสที่กำหนดเป็นแบบแผนในคำประพันธ์ เป็นสัมผัสสระ คือมีเสียงสระและตัวสะกดมาตราเดียวกัน ดังนี้
บาทแรก คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคแรก ในบาทที่ 2 และ 3
บาทที่ 2 คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับ คำสุดท้ายของวรรคแรก ในบาทที่ 4
ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี อธิบายสัมผัสบังคับของโคลงสี่สุภาพไว้ว่า
ให้ปลายบาทเอกนั้นมาฟัด
ห้าที่บทสองวัจน์ชอบพร้อง
บทสามดุจเดียวทัดในที่ เบญจนา
ปลายแห่งบทสองต้องที่ห้าบทหลัง


 คำสร้อย

คำสร้อยซึ่งใช้ต่อท้ายโคลงสี่สุภาพในบาทที่ 1 และบาทที่ 3 นั้น จะใช้ต่อเมื่อความขาด หรือยังไม่สมบูรณ์ หากได้ใจความอยู่แล้วไม่ต้องใส่ เพราะจะทำให้ "รกสร้อย"
คำสร้อยที่นิยมใช้กันเป็นแบบแผนมีทั้งหมด 18 คำ
  1. พ่อ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล
  2. แม่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล หรือเป็นคำร้องเรียก
  3. พี่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล อาจใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือบุรุษที่ 2 ก็ได้
  4. เลย ใช้ในความหมายเชิงปฏิเสธ
  5. เทอญ มีความหมายเชิงขอให้มี หรือ ขอให้เป็น
  6. นา มีความหมายว่าดังนั้น เช่นนั้น
  7. นอ มีความหมายเช่นเดียวกับคำอุทานว่า หนอ หรือ นั่นเอง
  8. บารนี สร้อยคำนี้นิยมใช้มากในลิลิตพระลอ มีความหมายว่า ดังนี้ เช่นนี้
  9. รา มีความหมายว่า เถอะ เถิด
  10. ฤๅ มีความหมายเชิงถาม เหมือนกับคำว่า หรือ
  11. เนอ มีความหมายว่า ดังนั้น เช่นนั้น
  12. ฮา มีความหมายเข่นเดียวกับคำสร้อย นา
  13. แล มีความหมายว่า อย่างนั้น เป็นเช่นนั้น
  14. ก็ดี มีความหมายทำนองเดียวกับ ฉันใดก็ฉันนั้น
  15. แฮ มีความหมายว่า เป็นอย่างนั้นนั่นเอง ทำนองเดียวกับคำสร้อยแล
  16. อา ไม่มีความหมายแน่ชัด แต่จะวางไว้หลังคำร้องเรียกให้ครบพยางค์ เช่น พ่ออา แม่อา พี่อา หรือเป็นคำออกเสียงพูดในเชิงรำพึงด้วยวิตกกังวล
  17. เอย ใช้เมื่ออยู่หลังคำร้องเรียกเหมือนคำว่าเอ๋ยในคำประพันธ์อื่น หรือวางไว้ให้คำครบตามบังคับ
  18. เฮย ใช้เน้นความเห็นคล้อยตามข้อความที่กล่าวหน้าสร้อยคำนั้น เฮย มาจากคำเขมรว่า "เหย" แปลว่า "แล้ว" จึงน่าจะมีความหมายว่า เป็นเช่นนั้นแล้ว ได้เช่นกัน


                                     

       โคลงสี่สุภาพ 1 บท มี 4 บาท     บาท 1, 2, 3 มี 2 วรรค วรรคหน้า 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ  บาทที่ 4 วรรคหน้ามี 5 คำ วรรคหลัง 4 คำ  ท้ายบาทที่ 1 และ 3 อาจมีคำสร้อยบาทละ 2 คำ  1 บทรวม 30 คำ     กรณีมีคำสร้อยทั้งบาทที่1 และบาทที่ 3 จะมีจำนวนคำ 32-34 คำ
             
 การอ่านโคลงสี่สุภาพ
        โคลงสี่สุภาพ เป็นโคลงที่ซึ่งนิยมอ่านกันโดยทั่วไป ส่วนโคลงสอง โคลงสามมิได้นำมากล่าวถึง เนื่องจากในปัจจุบันที่นิยมอ่านน้อย การอ่านโคลงสี่สุภาพนั้นเป็นพื้นฐานสำหรับอ่านโคลงกระทู้ โคลงดั้น ซึ่งมีลีลาและท่วงทำนองที่เหมือนกัน การอ่านโคลงเป็นเรื่องที่ผู้อ่านจะต้องศึกษากับผู้รู้โดยเฉพาะเช่นกัน จึงจะสามารถอ่านได้ดี ถูกต้องตามทำนองและมีความไพเราะ


           การแบ่งจังหวะในการอ่านโคลงสี่สุภาพ

ในการแบ่งจังหวะเพื่ออ่านโคลงสี่สุภาพผู้รู้บางท่านแบ่งจังหวะต่างกันเช่น อาจารย์ กำชัย ทองหล่อ อธิบายว่า จำนวนคำ 5 คำของวรรคหน้านั้นแบ่งเป็น 2 จังหวะ จังหวะแรก 2 คำ จังหวะที่ 2 มี 3 คำ ส่วน จิตร ภูมิศักดิ์ แบ่ง 2 จังหวะเช่นกัน แต่จังหวะที่ 1 อ่าน 2 จังหวะที่ 2 อ่าน 3 คำ นันทา ขุนภักดี อธิบายไว้ในหนังสือคีตวรรณกรรมว่า จะแบ่งจังหวะ 2 จังหวะหน้าจะเป็น 2 หรือ 3 คำก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ตรงที่จะต้องอ่านเก็บคำให้ครบความหมายและต้องไม่ฉีกคำ ซึ่งอาจทำให้ความหมายของเนื้อความคลาดเคลื่อนได้
ในกรณีที่มีคำสร้อยให้เพิ่มขึ้นอีก 1 จังหวะ วรรคสุดท้ายของบทอ่าน ไม่เว้นวรรคทั้ง 4 คำ ในคำที่สองทอดเสียงเชื่อมกับคำที่ 3 เพื่อความไพเราะ
                       00/00่0้                                  00      00
                       00่/000                                  0่0้
                       00/0่00                                  00่      00
                       00่/000้                                  0่0้/00


ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ
                    “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง                  อันใด    พี่เอย
                      เสียงย่อมยอยศใคร                    ทั่วหล้า
                      สองเขือพี่หลับใหล                     ลืมตื่น   ฤาพี่
                      สองพี่คิดเองอ้า                          อย่าได้ถามเผือ”
                                                                                                               (ลิลิตพระลอ)

      ทำนองในการอ่านโคลงสี่สุภาพ

1. ในวรรคที่ 1, 2 ของบาทที่ 1 และวรรคที่ 1 ของบาทที่ 2 อ่านด้วยเสียงปกติธรรมดา
2. วรรคที่ 2 ของบาทที่ 2 ลดเสียงลงต่ำ
3. ถ้าคำท้ายวรรคที่ 2 ของบาทที่ 2 เป็นคำที่มีเสียงตรี จะต้องอ่านออกเสียงตรีแท้ ๆ จะ
ไม่อ่านออกเสียงตรีแล้วเลื่อนเสียงเป็นเสียงโทจะทำให้เสียงเพี้ยน
4. ในวรรคที่ 1 ของบาทที่ 3 อ่านเสียงสูง
5. ในวรรคที่ 2 ของบาทที่ 3 อ่านเสียงระดับปกติธรรมดา
6. ในวรรคที่ 1, 2 ของบาทที่ 4 อ่านเสียงระดับปกติธรรมดา
7. ในวรรคสุดท้ายอ่านต่อเนื่องกันทั้งหมดไม่หยุดเว้นวรรค โดยนิยมเอื้อนระหว่างคำที่ 2-3


          บทฝึกอ่านโคลง

                                อัญขยมบรมนเรศเรื้อง         รามวงศ์
                          พระผ่านแผ่นไผททรง                 สืบไท้
                           แสวงยิ่งสิ่งสดับองค์                   โอวาท
                           หวังประชาชนให้                       อ่านแจ้งคำโคลง

                                ครรโลงโลกนิตินี้                 นมนาน
                          มีแต่โบราณกาล                        เก่าพร้อง
                          เป็นสุภาษิตสาร                         สอนจิต
                         กลดั่งสร้อยสอดคล้อง                 เวี่ยไว้ในกรรณ

                              (ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2511 หน้า 1)




                                                                                           


    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น